จังหวัดยโสธร
จังหวัดยโสธร เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จัดตั้งโดยคณะปฏิวัติของจอมพลถนอม กิตติขจร ตาม ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 อันให้แยกอำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอป่าติ้ว ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี แล้วรวมจังตั้งเป็นจังหวัดยโสธร และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515 สืบไป
ทั้งนี้ จังหวัดยโสธ เดิมเป็นหมู่บ้าน เรียกว่า บ้านสิงห์ท่า ต่อมาใน พ.ศ. 2357 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงยกฐานะเป็นเมืองยโสธร มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ถึง พ.ศ. 2443 รวมเข้าอยู่ในบริเวณอุบลราชธานีจนถึง พ.ศ. 2450 เมื่อยุบบริเวณอุบลราชธานี จัดตั้งเป็นจังหวัดอุบลราชธานี จึงเป็นอำเภอในจังหวัดอุบลราชธานี กระทั่งมีประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว
ปัจจุบัน จังหวัดยโสธรอยู่สูงจากระดับทะเลปานกลาง 128 เมตร ตั้งศาลากลางจังหวัดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร ณ ละติจูด 15° 47´.6 เหนือ ลองจิจูด 104° 08´.7 ตะวันออก ประกอบด้วยอำเภอ 9 อำเภอ, ตำบล 78 ตำบล และหมู่บ้าน 835 หมู่บ้าน มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 4,162 ตารางกิโลเมตร อาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดมุกดาหาร, ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี, ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดร้อยเอ็ดห่างจากจังหวัดนครราชสีมา 340กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบ มีภูเขาขนาดเล็กเป็นบางบริเวณในตอนเหนือของจังหวัด ด้านตะวันตกของจังหวัดมีลำน้ำยังไหลผ่านจากทิศเหนือไปทิศใต้ลงสู่แม่น้ำชี
ในด้านเศรษฐกิจ จังหวัดยโสธร มีการทำนา ปลูกปอแก้ว มันสำปะหลัง และถั่วลิสง มีแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญ เช่น วัดมหาธาตุ พระธาตุยโสธร พระธาตุก่องข้าวน้อย สวนสาธารณะพญาแกน หมู่บ้านทำหมอนขิตบ้านศรีฐาน ซากเมืองโบราณบ้านสงเปือย ซากเมืองโบราณดงเมืองเตย กู่จาน ภูถ้ำพระ เจดีย์บรรจุดินจากสังเวชนียสถาน รอยพระพุทธบาทจำลอง
สัญลักษณ์เมืองยโสธร
- ตราประจำจังหวัด: รูปพระธาตุอานนท์ ปูชนียสถานสำคัญของจังหวัดยโสธร ขนาบด้วยรูปสิงห์ 2 ตัว เบื้องล่างของภาพดังกล่าวรองรับด้วยรูปดอกบัวบานเป็นการแสดงถึงการที่จังหวัดยโสธรแยกออกมาจากจังหวัดอุบลราชธานี
- ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกบัวหลวง (Nympheas lotus)
- ต้นไม้ประจำจังหวัด: กระบาก (Anisoptera costata)
- คำขวัญประจำจังหวัด: เมืองบั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ
สถานที่สำคัญในจังหวัด
โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้(วัดอัครเทวดามิคาแอล)
อยู่ที่บ้านหนองซ่งแย้ หมู่ ๒ ตำบลคำเตย ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ ๔๕ กิโลเมตร (ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๖๙ ยโสธร- เลิงนกทา) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยว Unseen in Thailand เป็นโบสถ์คริสต์ที่สร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่ ใช้เสาไม้ทั้งเล็กและใหญ่ เกือบ ๓๐๐ ต้น และไม้มุงหลังคา ๘๐,๐๐๐ แผ่น เป็นโบสถ์คริสต์สร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีอายุกว่า ๕๐ ปี และตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นต้นมา ทางจังหวัดยโสธร ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดพิธีสมรสหมู่แบบคาทอลิกให้กับคู่บ่าวสาว ในวันวาเลนไทน์ของทุกปี ที่โบสถ์แห่งนี้ด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วัดมหาธาตุ
ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมือง โบราณสถานที่สำคัญในวัดคือพระพุทธบุษยรัตน์ หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธรที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ พระราชทานให้พระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองยโสธรคนแรก
พระธาตุยโสธร หรือพระธาตุอานนท์ ตั้งอยู่หน้าอุโบสถ เป็นพระธาตุรุ่นเก่าที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ภายในพระธาตุบรรจุอัฐิธาตุของพระอานนท์ การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาวที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งตรงกับประวัติการตั้งเมืองและประวัติของวัดมหาธาตุฉบับหนึ่งว่า สร้างราว พ.ศ. 2321 โดยท้าวหน้า ท้าวคำสิงห์ ท้าวคำผา ซึ่งเดิมเป็นเสนาบดีเก่าของกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ต่อมาได้อพยพผู้คนภายใต้การนำของพระวอ พระตา ราว พ.ศ. 2313-2319 มาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่นี้
พระธาตุก่องข้าวน้อย
พระธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ธาตุก่องข้าวน้อย เป็นเจดีย์สมัยขอม ตั้งอยู่ในทุ่งนา ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร ห่างจากตัวจังหวัด 9 ก.ม. ไปตามทางหลวง หมายเลย 23 (ยโสธร - อุบลราชธานี) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กิโลเมตร ธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23 - 25 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงจะแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะเป็นก่องข้าว องค์พระธาตุเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลางขององค์พระธาตุ มีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ถัดจากช่วงนี้เป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆ สอบเข้าหากัน เป็นส่วนยอดรอบนอกของพระธาตุก่องข้าวน้อย มีกำแพงอิฐล้อมรอบขนาด 5 x 5 เมตร นอกจากนี้บริเวณด้านหลังมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือน 5 จะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ ฝนจะแล้งในปีนั้น ธาตุก่องข้าวน้อย มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งผิดไปจากปูชนียสถานอื่น ที่มักเกี่ยวพันธ์กับเรื่องพุทธศาสนา แต่ประวัติความเป็นมาของธาตุก่องข้าวน้อย กลับเป็นเรื่องของหนุ่มชาวนาที่ทำนาตั้งแต่เช้าจนเพล มารดามาส่งข้าวสาย เกิดหิวข้าวจนตาลาย อารมณ์ชั่ววูบทำให้เค้ากระทำมาตุฆาต ด้วยสาเหตุเพียงแค่ว่า ข้าวที่เอามาส่ง ดูจะน้อยไป ไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมด จึงได้สติ คิดสำนึกผิดที่กระทำรุนแรงต่อมารดาของตนเองจนถึงแก่ความตาย จึงได้สร้างธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล ขออโหสิกรรมและล้างบาป ที่ตนกระทำมาตุฆาต นอกจากนี้ที่บริเวณบ้านตาดทอง กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์และภาชนะเขียนสีแบบบ้านเชียงอีกด้วย
บ้านทุ่งนางโอก
บ้านทุ่งนางโอก ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 8 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2169 (ยโสธร-กุดชุม) บ้านทุ่งนาโอกมีชื่อเสียงในการจักสานไม้ไผ่ เพื่อเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน และของที่ระลึก
หมู่บ้านนาสะไมย
ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านทุ่งนางโอก มีชื่อเสียงในเรื่องการจักสานไม้ไผ่และการแกะสลักเกวียนจำลองที่ปราณีตงดงาม
ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า
ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า บริเวณคุ้มบ้านสิงห์ท่า เป็นย่านเมืองเก่าที่ปรากฏนามอยู่ในประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมืองปัจจุบัน บริเวณนี้ยังคงมีตึกแถวโบราณที่มีรูปทรงและลวดลายงดงามและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี เหมาะแก่การท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นเมือง
หมู่บ้านทำหมอนขิดบ้านศรีฐาน
ภูถ้ำพระ
ภูถ้ำพระ สถานที่ท่องเที่ยว อ.กุดชุม จ. ยโสธร บริเวณลานหินกว้างมาก ขึ้นไปประมาณ 1 ก.ม. เป็นทางเล็กๆๆ มีหินตะปุ่มตะป่ำ
แหล่งโบราณสถานบ้านสงเปือย
บ้านสงเปือย ตั้งอยู่ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว ห่างจากตัวเมืองยโสธร 25 กิโลเมตร ตามเส้นทาง ยโสธร-คำเขื่อนแก้ว-อุบลราชธานี โดยทางหลวงหมายเลข 23 จะมีทางแยกขวาเข้าไปอีกราว 10 กิโลเมตร สิ่งสำคัญและปูชนียสถานที่น่าสนใจ มีดังนี้
- พระพุทธรูปใหญ่
เป็นพระประธานในอุโบสถวัดสงเปือย มีขนาดหน้าตักกว้าง 3 เมตร สูง 8 เมตร เป็นพระพุทธรูปปั้นด้วยอิฐ ปูน มีอายุไม่น้อยกว่า 200 ปี เป็นที่สักการะของประชาชนในท้องถิ่น ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนี่ง
- เจดีย์บรรจุดินจากสังเวชนียสถาน
เดิมเป็นเจดีย์เก่า อายุประมาณ 200 ปีขึ้นไป ในปี พ.ศ. 2498 ได้ต่อเติมขึ้นใหม่ โดยเงินทุนของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม พระปลัดเขียน อัมมาพันธ์ นำดินจากสังเวชนียสถาน 4 ตำบล คือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน จากประเทศอินเดีย มาบรรจุไว้
- รอยพระพุทธบาทจำลอง
จัดสร้างโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม และท่านผู้หญิง ในวันสงกรานต์ของทุกปี มีประชาชนในท้องถิ่นมาสรงน้ำเป็นจำนวนมาก
- พิพิธภัณฑ์ของโบราณ
เป็นสถานที่รวบรวมของโบราณซึ่งเก็บและขุดมาได้จากดงเมืองเตย เมืองเก่าสมัยขอม ในพิพิธภัณฑ์นี้ มีเตียงบรรทมเจ้าเมือง (เป็นศิลา) และศิลาจารึกสันนิษฐานว่า เป็นอักษรขอมโบราณ
- ซากเมืองโบราณดงเมืองเตย
อยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้านสงเปือย ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในบริเวณดงเมืองเตย มีซากวัด สระน้ำ กำแพงเมือง ซึ่งปัจจุบันได้ชำรุดลงไปมากแล้ว แต่ยังมีเค้าโครงเดิมพอจะสันนิษฐานได้ว่า เดิมเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณสมัยเจนละ-ทวารวดี ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 จากข้อความที่พบในจารึกของกษัตริย์เจนละ แสดงว่าโบราณสถานแห่งนี้ สร้างขึ้นเป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ที่นับถือพระศิวะ ในช่วงเวลานั้น บริเวณดงเมืองเตย รวมทั้งชุมชนใกล้เคียง ก็คงจะเคยเป็นเมืองที่มีชื่อว่า "ศังขะปุระ" ซึ่งคงจะมีความสัมพันธ์ในฐานะ เมืองในปกครองของอาณาจักรเจนละ ซึ่งก็คือ อาณาจักรขอมในสมัยต่อมา ที่แผ่อำนาจเข้ามาในเขตลุ่มแม่น้ำมูล-ชี ในช่วงเวลาดังกล่าว
กู่จาน
สถาน ที่ ตั้ง อยู่ ภาย ใน วัด บ้าน กู่ จาน ตำบล กู่ จาน อำเภอ คำ เขื่อน แก้ว จังหวัด ยโสธร ประวัติ ความ เป็น มา เมื่อ พุทธ ศักราช 7 หลัง จาก ที่ พระ พุทธ เจ้า ได้ เสด็จ ปรินิพพาน ไป แล้ว เป็น เวลา 7 ปี พระม หา กัสส ปะ ได้ นำ พระ บรม สารีริกธาตุ ลง แจก จ่าย ใน ดิน แถบ นี้ กลุ่ม ที่ ได้ มา คือ พระ ยา คำ แดง ซึ่ง เป็น หัว เมือง ฝ่าย เหนือ กลุ่ม พระ ยา พุทธ ซึ่ง เป็น ผู้ มี อำนาจ ทาง ฝ่าย ใต้ ไม่ ได้ รับ พระ บรม สารีริกธาตุ จึง ได้ เดิน ทาง ไป ขอ แบ่ง พระ บรม สารีริกธาตุ จาก พระ ยา คำ แดง พระ ยา คำ แดง ไม่ อยาก ให้ ทำ เป็น พูด จา บ่าย เบี่ยง โดย ท้า แข่ง กัน ก่อ สร้าง เจดีย์ เพื่อ บรรจุ พระ สารีริกธาตุ ว่า ใคร จะ เสร็จ ก่อน ถ้า ใคร แพ้ ต้อง ยอม เป็น เมือง ขึ้น ของ กัน และ กัน แต่ มี ข้อ แม้ อยู่ ว่า ใน การ ก่อ สร้าง เจดีย์ ครั้ง นี้ ต้อง ใช้ คน อย่าง มาก ไม่ เกิน 6 คน เมื่อ ทั้ง สอง ฝ่าย ตก ลง กัน แล้ว พระ ยา พุทธ ก็ เดิน ทาง กลับ มา ประชุม เจ้า เมือง ฝ่าย ใต้ เพื่อ ทำ การ ก่อ สร้าง พระ ธาตุ กู่ จาน ได้ คัด เลือก เอา แต่ คน สนิท มี ฝี มือ ได้ แก่ พระ ยา พุทธ พระ ยาเขียว พระ ยา ธรรม พระ ยา คำ พระ ยา แดง และ พระ ยา คำ ใบ ส่วน นาม ของ ผู้ สร้าง พระ ธาตุ พนม ทราบ เพียง ท่าน เดียว คือ พระ ยา คำ แดง เท่า นั้น ทั้ง สอง ฝ่าย ได้ เริ่ม ทำ การ ก่อ สร้าง โดย ไม่ ให้ ราษฎร เข้า มา ยุ่ง เกี่ยว หาก มี ผู้ ใด ขัด ขวาง ตัด คอ ทัน ที กลุ่ม ของ พระ ยา พุทธ เมื่อ ทำ การ ก่อ สร้าง ไป ได้ ครึ่ง หนึ่ง กลัว ว่า เมื่อ สร้าง เสร็จ แล้ว พระ ยา คำ แดง จะ ไม่ ยอม แบ่ง พระ บรม สารีริกธาตุ ให้ ตาม ที่ ได้ ตก ลง กัน ไว้ และ กลัว จะ แพ้ พระ ยา คำ แดง จึง ยก กอง กำลัง ขึ้น ไป แย่ง ชิง เอา พระ สารีริกธาตุ มา ไว้ ก่อน แล้ว ค่อย สร้าง ต่อ ไป จน เสร็จ แต่ พระ ยา คำ แดง ได้ วาง มาตร การ คุ้ม กัน อย่าง เข้ม แข็ง ทั้ง หก คน บุก เข้า รบ อย่าง ดุ เดือด แต่ ก็ ไม่ สามารถ เข้า โจม ตี เข้า ไป ถึง ที่ เก็บ รักษา พระ บรม สารีริกธาตุ ได้ เนื่อง จาก มี กำลัง น้อย กว่า และ พระ ยา คำ ได้ เสีย ชีวิต เป็น อัน ว่า ผู้ สร้าง พระ ธาตุ กู่ จาน ยัง เหลือ เพียง 5 คน เมื่อ เห็น ว่า มี กำลัง น้อย กว่า คง สู้ ต่อ ไป ไม่ ได้ จึง ยก ทัพ กลับ เมื่อ กลับ มา ถึง ก็ ได้ ทำ การ คัด เลือก ผู้ ที่ มี ฝี มือ อยู่ ยง คง กระพัน ยิง ไม่ เข้า ฟัน ไม่ เข้า รวบ รวม ได้ หนึ่ง หมื่น คน ก็ ยก กำลัง ไป ที่ หัว เมือง ฝ่าย เหนือ อีก เพื่อ แย่ง ชิง พระ สารีริกธาตุ จาก พระ ยา คำ แดง เป็น ครั้ง ที่ 2 ครั้ง นี้ ฝ่าย ของ พระ ยา พุทธ ก็ ได้ รับ ความ ผิด หวัง ทหาร ที่ เกณฑ์ ไป เสีย ชีวิต ทั้ง หมด เหลือ รอด กลับ มา มี แต่ เจ้า เมือง ทั้ง ห้า เท่า นั้น เมื่อ ไม่ ประสบ ผล สำเร็จ ก็ กลับ มายัง เมือง ของ ตน เพื่อ ทำ การ คัด เลือก ทหาร และ วาง แผน การ ใหม่ โดย แบ่ง กำลัง ออก เป็น 5 ส่วน เท่า กัน ใน ส่วน ของ พระ ยา พุทธ นั้น ยัง ไม่ เข้า โจม ตี รอ ให้ ทั้ง 4 ฝ่าย นั้น เข้า โจม ตี ก่อน แล้ว จึง เข้า โจม ตี ด้าน หลัง ทหาร ของ พระ ยา คำ แดง หลง กล ที่ เห็น พระ ยา ทั้ง 4 เข้า ตี ด้าน หน้า ก็ พา กัน ออก มา รับ โดย ไม่ ระวัง ด้าน หลัง พระ ยา พุธ ซึ่ง คอย ที อยู่ แล้ว จึง ได้ พัง ประตู ด้าน หลัง เข้า ไป ยัง ที่ เก็บ รักษา พระ สารีริกธาตุ ซึ่ง ได้ บรรจุ ไว้ ใน ผอบ ทอง คำ เขียน อักษร ติด เอา ไว้ ซึ่ง พระ ยา พุทธ ได้ มา ทั้ง สิ้น 6 ผอบ แต่ ละ ชิ้น ของ พระ สารีริกธาตุ มี ขนาด เท่า เมล็ด งา พระ ยา ทั้ง 5 เมื่อ ทำ การ สำเร็จ แล้ว จึง พาท หาร ถอย กลับ ยัง เมือง ฝ่าย ตน หลัง จาก นั้น จึง ทำ การ ก่อ สร้าง เจดีย์ จน กระทั่ง สำเร็จ และ ได้ นำ เอา พระ บรม สารีริกธาตุ ทั้ง 6 ผอบ ไป ประดิษฐาน ไว้ ใน เจดีย์ เป็น ที่ เรียบ ร้อย แต่ ใน การ สร้าง พระ เจดีย์ ครั้ง นี้ เป็น ที่ คับ แค้น ของ เหล่า ประชา ราษฎร์ ยิ่ง นัก เนื่อง จาก ไม่ ได้ ร่วม ก่อ สร้าง ดัง นั้น พระ ยา ทั้ง ห้า จึง ได้ ปรึกษา กัน ว่า พวก เรา ต้อง สร้าง ใหม่ อีก แห่ง หนึ่ง เพื่อ ที่ จะ ให้ ราษฎร ใน แต่ ละ หัว เมือง ได้ มี ส่วน ร่วม ใน การ ก่อ สร้าง แต่ ใน ครั้ง นี้ ต้อง สร้าง เป็น วิหาร เพื่อ เป็น ที่ เก็บ สิ่ง ของ และ จารึก ประวัติ พระ ธาตุ ไว้ ให้ ชน รุ่น หลัง ได้ เรียน รู้ เมื่อ ประชา ชน ใน เมือง ต่าง ๆ ทราบ ข่าว ต่าง มี ความ ยิน ดี ที่ จะ ได้ ร่วม สร้าง วิหาร ซึ่ง วิหาร นั้น จะ ต้อง ทำ ด้วย หิน และ หิน นั้น ต้อง เป็น หิน ทะเล เมื่อ ตก ลง กัน แล้ว พระ ยา ทั้ง ห้า ต่าง ก็ แยก ย้าย ไป บอก ข่าว แก่ ประชา ชน ของ ตน ให้ ไป นำ หิน จาก ทะเล มา ก่อ สร้าง พระ วิหาร โดย จัด แบ่ง เป็น กลุ่ม ๆ กัน ไปฝ่าย พระ ยา คำ แดง หัว เมือง ฝ่าย เหนือ โกรธ แค้น มาก และ ทราบ ว่า ผู้ ที่ มา แย่ง ชิง พระ สารีริกธาตุ เป็น ผู้ ใด จึง ได้ ยก กำลัง กอง ทัพ ลง มายัง หัว เมือง ฝ่าย ใต้ เพื่อ พิจารณา ขอ ร่วม สร้าง ด้วย เพราะ รู้ ว่า พระ ยา ทั้ง 5 ได้ ไป แย่ง ชิง เอา พระ สารีริกธาตุ จาก ตน มา แล้ว แต่ พระ ยา ทั้ง ห้า ไม่ ยอม จึง เกิด การ ต่อ สู้ กัน ขึ้น อย่าง รุน แรง เนื่อง จาก ฝ่าย พระ ยา พุทธ ไม่ ได้ เตรียม กอง กำลัง ป้อง กัน ไว้ จึง เสีย เปรียบ ผล ปรากฏ ว่า พระ ยา ทั้ง หมด เสีย ชีวิต คือ พระ ยา คำ แดง ถูก พระ ยา พุทธ ฟัน ด้วย ทวน คอ ขาด ส่วน พระ ยา ฝ่าย ใต้ ก็ เสีย ชีวิต ทั้ง หมด เช่น กัน ศพ ทั้ง หมด ได้ ถูก เผา และ นำ มา ฝัง ไว้ ห่าง จาก พระ ธาตุ กู่ จาน ประมาณ 2 - 3 เมตร ทั้ง 4 ทิศ สนาม รบ ครั้ง นั้น ก็ คือ ดอน กู่ ใน ปัจจุบัน ซึ่ง มี หิน เรียง กัน เป็น ชั้น ๆ อยู่ ทาง ทิศ เหนือ ของ บ้าน กู่ จาน ห่าง จาก องค์ พระ ธาตุ กู่ จาน ไป ไม่ มาก นัก ส่วน ศพ ของ พระ ยา คำ แดง ชาว เมือง ได้ ช่วย กัน เผา แล้ว ปั้น เป็น เทว รูป คอ ขาด ซึ่ง ปัจจุบัน นี้ พระ พุทธ รูป คอ ขาด ได้ ประดิษฐาน อยู่ ที่ วัด สมบูรณ์ พัฒนา ตำบล กู่ จาน อำเภอ คำ เขื่อน แก้ว จังหวัด ยโสธร เป็น วัด ที่ อยู่ ทาง ด้าน ทิศ ตะวัน ตก ของ หมู่ บ้านส่วน ข้าว ของ เงิน ทอง ของ พระ ยา คำ แดง ซึ่ง นำ ลง มา จาก หัว เมือง ฝ่าย เหนือ และ ของ พระ ยา ทั้ง ห้า ของ หัว เมือง ฝ่าย ใต้ ได้ ถูก สาป ให้ จม ธรณี เพื่อ ป้อง กัน มิ ให้ ผู้ ใด ทำลาย และ นำ ไป เป็น สมบัติ ส่วน ตัว ส่วน ชาว เมือง หัว เมือง ฝ่าย ใต้ ที่ พา กัน ไป ขน หิน ทะเล นั้น บาง กลุ่ม ก็ ยัง ไป ไม่ ถึง บาง กลุ่ม ก็ ไป ถึง บาง กลุ่ม ก็ กลับ มา ถึง ครึ่ง ทาง บาง กลุ่ม ก็ มา ถึง แล้ว แต่ กลุ่ม ที่ เดิน ทาง ไป ก่อน หลัง เมื่อ ทราบ ข่าว ว่า เจ้า เมือง ของ ตน ตาย ก็ พา กัน ทิ้ง หิน ไว้ ตาม ที่ ต่าง ๆ ซึ่ง เรา เห็น อยู่ หลาย แห่ง เมื่อ ดอน กู่ ได้ เกิด ศึก ใหญ่ มี คน ตาย มาก มาย ชาว เมือง ที่ เหลือ อยู่ เสีย ขวัญ ก็ พา กัน อพยพ ถิ่น ฐาน ไป หา ที่ สร้าง เมือง ใหม่ ปล่อย ให้ พระ ธาตุ กู่ จาน ถูก ทอด ทิ้ง มา ตั้ง แต่ บัด นั้น จน กลาย เป็น ป่า ทึบ ตาม ธรรม ชาติ เต็ม ไป ด้วย สัตว์ ป่า นานา ชนิด หลาย ต่อ หลาย ชั่ว อายุ คน ที่ ไม่ อาจ นับ ได้ จน กระทั่ง บรรพ บุรุษ ที่ เดิน ทาง มา จาก บ้าน ปรี่ เชียง หมี มา พบ เข้า ได้ เห็น ดี ที่ จะ ตั้ง หมู่ บ้าน เพราะ มี แหล่ง น้ำ ตาม ธรรม ชาติ ที่ ดิน อุดม สมบูรณ์ จึง ตั้ง หมู่ บ้าน ขึ้น และ ถาง ป่า มา พบ พระ ธาตุ แต่ ไม่ ทราบ ประวัติ ความ เป็น มา ของ พระ ธาตุ จน มา ถึง ปี พ . ศ . 2521 จึง ปรากฏ ว่า มี สามเณร ถาวร อิน กาย เกิด อภินิหาร ขึ้น เล่า ประวัติ ของ พระ ธาตุ ความ สำคัญ ต่อ ชุม ชน เป็น ปูช นีย สถาน ศักดิ์ สิทธิ์ เป็น ที่ สักการะ ของ ชาว เมือง ยโสธร และ จังหวัด ใกล้ เคียง ทุกๆ ปี ชาว ตำบล กู่ จาน จะ นำ น้ำ อบ น้ำ หอม ไป ทำ พิธี สรง น้ำ พระ ธาตุ ใน ช่วง เช้า ของ วัน เพ็ญ เดือน 6 ตอน บ่าย จะ ไป ทำ พิธี สรง น้ำ กู่ หลัง จาก นั้น จะ พา กัน ไป ที่ หนอง สระ พัง เพื่อ นำ น้ำ ที่ หนอง สระ พัง มา ทำ พิธี สรง น้ำ พระ ธาตุ และ ใบ เสมา ซึ่ง พิธี กรรม ดัง กล่าว นี้ ต้อง กระทำ เป็น ประจำ ทุก ปี มี ความ เชื่อ ว่า หาก ไม่ ทำ พิธี ดัง กล่าว แล้ วจะ ทำ ให้ ฝน ฟ้า ไม่ ตก ต้อง ตาม ฤดู กาล และ ได้ เกิด เหตุ การณ์ ที่ ทำ ให้ ความ เชื่อ นั้น ยัง คง มี ความ ศักดิ์ สิทธิ์ มาก ยิ่ง ขึ้น เมื่อ ได้ เกิด เหตุ การณ์ ดัง กล่าว ขึ้น แล้ว และ ต้อง ทำ พิธี สรง น้ำ พระ ธาตุ กู่ ใบ เสมา อีก ครั้ง ใน ปี นั้น เป็น เหตุ การณ์ ที่ ชาว บ้าน กู่ จาน ทุก คน รับ ทราบ และ จด จำ ได้ ดี จึง ได้ ถือ ปฏิบัติ พิธี นี้ เป็น ประจำ ลักษณะ ทาง สถาปัตยกรรม องค์ พระ ธาตุ กู่ จาน กว้าง 5 . 10 เมตร สูง 15 เมตร ที่ ตั้ง อยู่ กลาง ลาน วัด กู่ จาน ตำบล กู่ จาน อำเภอ คำ เขื่อน แก้ว จังหวัด ยโสธร ซึ่ง ดู ลักษณะ แล้ว คล้ายคลึง กับ องค์ พระ ธาตุ พนม ต่าง กัน เพียง ขนาด ซึ่ง พระ ธาตุ กู่ จาน มี ขนาด เล็ก กว่า เส้น ทาง ที่ เข้า สู่ พระ ธาตุ กู่ จาน มี เส้น ทาง ถนน ลูก ลัง แยก จาก ถนน แจ้ง สนิท ระหว่าง อำเภอ คำ เขื่อน แก้ว กับ จังหวัด อุบลราชธานี โดย มี จุด แยก ข้างๆ สถานี พืช อาหาร สัตว์ ยโสธร ขึ้น ไป ทาง เหนือ ผ่าน บ้าน แหล่ง แป้น บ้าน โคก โก่ ย เข้า สู่ บ้าน กู่ จาน ระยะ ทาง ประมาณ 10 กิโลเมตร
พระพุทธบาทยโสธร
พระพุทธบาทยโสธร ตั้งอยู่ที่วัดพระพุทธบาทยโสธร บ้านหนองยาง ตำบลหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางทิศตะวันตก 6 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2083 ห่างจากตัวจังหวัด 47 กม. พี้นที่ประดิษฐานรอยพุทธบาท เป็นเนินทรายขาวสูงงอกขึ้นกลางพื้นที่ลุ่มน้ำชี นับเป็นโบราณวัตถุอันล้ำค่าของจังหวัด บริเวณเดียวกันนี้ ยังมีโบราณวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธรูปปางนาคปรก (ศิลาแลง) 1 องค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1 ศอก และหลักศิลาจารึกทำด้วยศิลาแลง 1 หลัก สูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 50 เซนติเมตร มีตัวหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า โบราณวัตถุทั้ง 3 อย่างนี้ พระมหาอุตตปัญญาและสิทธิวิหาริกได้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1378 นอกจากนั้น ก็เขียนบอกคำนมัสการพระพุทธบาทไว้ บางตัวก็อ่านไม่ออกเพราะเลือนลางมาก ในระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ของทุกปี จะมีประชาชนจากอำเภอและตำบลใกล้เคียง ไปนมัสการเป็นจำนวนมาก
หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์
ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมือง โบราณสถานที่สำคัญในวัดคือพระพุทธบุษยรัตน์ หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธรที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ พระราชทานให้พระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองยโสธรคนแรก
พระธาตุยโสธร หรือพระธาตุอานนท์ ตั้งอยู่หน้าอุโบสถ เป็นพระธาตุรุ่นเก่าที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ภายในพระธาตุบรรจุอัฐิธาตุของพระอานนท์ การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาวที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งตรงกับประวัติการตั้งเมืองและประวัติของวัดมหาธาตุฉบับหนึ่งว่า สร้างราว พ.ศ. 2321 โดยท้าวหน้า ท้าวคำสิงห์ ท้าวคำผา ซึ่งเดิมเป็นเสนาบดีเก่าของกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ต่อมาได้อพยพผู้คนภายใต้การนำของพระวอ พระตา ราว พ.ศ. 2313-2319 มาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่นี้
พระธาตุก่องข้าวน้อย
พระธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ธาตุก่องข้าวน้อย เป็นเจดีย์สมัยขอม ตั้งอยู่ในทุ่งนา ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร ห่างจากตัวจังหวัด 9 ก.ม. ไปตามทางหลวง หมายเลย 23 (ยโสธร - อุบลราชธานี) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กิโลเมตร ธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23 - 25 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงจะแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะเป็นก่องข้าว องค์พระธาตุเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลางขององค์พระธาตุ มีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ถัดจากช่วงนี้เป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆ สอบเข้าหากัน เป็นส่วนยอดรอบนอกของพระธาตุก่องข้าวน้อย มีกำแพงอิฐล้อมรอบขนาด 5 x 5 เมตร นอกจากนี้บริเวณด้านหลังมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือน 5 จะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ ฝนจะแล้งในปีนั้น ธาตุก่องข้าวน้อย มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งผิดไปจากปูชนียสถานอื่น ที่มักเกี่ยวพันธ์กับเรื่องพุทธศาสนา แต่ประวัติความเป็นมาของธาตุก่องข้าวน้อย กลับเป็นเรื่องของหนุ่มชาวนาที่ทำนาตั้งแต่เช้าจนเพล มารดามาส่งข้าวสาย เกิดหิวข้าวจนตาลาย อารมณ์ชั่ววูบทำให้เค้ากระทำมาตุฆาต ด้วยสาเหตุเพียงแค่ว่า ข้าวที่เอามาส่ง ดูจะน้อยไป ไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมด จึงได้สติ คิดสำนึกผิดที่กระทำรุนแรงต่อมารดาของตนเองจนถึงแก่ความตาย จึงได้สร้างธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล ขออโหสิกรรมและล้างบาป ที่ตนกระทำมาตุฆาต นอกจากนี้ที่บริเวณบ้านตาดทอง กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์และภาชนะเขียนสีแบบบ้านเชียงอีกด้วย
บ้านทุ่งนางโอก
บ้านทุ่งนางโอก ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 8 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2169 (ยโสธร-กุดชุม) บ้านทุ่งนาโอกมีชื่อเสียงในการจักสานไม้ไผ่ เพื่อเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน และของที่ระลึก
หมู่บ้านนาสะไมย
ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านทุ่งนางโอก มีชื่อเสียงในเรื่องการจักสานไม้ไผ่และการแกะสลักเกวียนจำลองที่ปราณีตงดงาม
ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า
ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า บริเวณคุ้มบ้านสิงห์ท่า เป็นย่านเมืองเก่าที่ปรากฏนามอยู่ในประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมืองปัจจุบัน บริเวณนี้ยังคงมีตึกแถวโบราณที่มีรูปทรงและลวดลายงดงามและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี เหมาะแก่การท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นเมือง
หมู่บ้านทำหมอนขิดบ้านศรีฐาน
หมู่บ้านทำหมอนขิดบ้านศรีฐาน ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านศรีฐาน อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร เป็นหมู่บ้านหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการทำหมอนขิดซึ่งการทำหมอนขิดเป็นวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวบ้านศรีฐาน เป็นที่ทราบกันดีว่าผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้านศรีฐาน คือ หมอนขวานผ้าขิด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏในคำขวัญของจังหวัดยโสธร และมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน มีการพัฒนารูปแบบการผลิตอย่างต่อเนื่อง นอกจากหมอนขวานแล้วยังมีผลิตภัณฑ์อีกหลายอย่างเช่น ที่นอนพับ ที่นอนระนาด หมอนกระดูก หมอนรองคอ หมอนผลไม้ เบาะรองนั่ง นอกจากการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์แล้วยังมีการพัฒนาด้านการตลาด การสร้างเครือข่ายการตลาด การบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การขอรับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มีการจัดนิทรรศการและจำหน่ายสินค้าOTOPที่เมืองทองธานี และสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง ทำให้ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์หมอนขิดมีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี
ภูถ้ำพระ
ภูถ้ำพระ สถานที่ท่องเที่ยว อ.กุดชุม จ. ยโสธร บริเวณลานหินกว้างมาก ขึ้นไปประมาณ 1 ก.ม. เป็นทางเล็กๆๆ มีหินตะปุ่มตะป่ำ
แหล่งโบราณสถานบ้านสงเปือย
บ้านสงเปือย ตั้งอยู่ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว ห่างจากตัวเมืองยโสธร 25 กิโลเมตร ตามเส้นทาง ยโสธร-คำเขื่อนแก้ว-อุบลราชธานี โดยทางหลวงหมายเลข 23 จะมีทางแยกขวาเข้าไปอีกราว 10 กิโลเมตร สิ่งสำคัญและปูชนียสถานที่น่าสนใจ มีดังนี้
- พระพุทธรูปใหญ่
เป็นพระประธานในอุโบสถวัดสงเปือย มีขนาดหน้าตักกว้าง 3 เมตร สูง 8 เมตร เป็นพระพุทธรูปปั้นด้วยอิฐ ปูน มีอายุไม่น้อยกว่า 200 ปี เป็นที่สักการะของประชาชนในท้องถิ่น ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนี่ง
- เจดีย์บรรจุดินจากสังเวชนียสถาน
เดิมเป็นเจดีย์เก่า อายุประมาณ 200 ปีขึ้นไป ในปี พ.ศ. 2498 ได้ต่อเติมขึ้นใหม่ โดยเงินทุนของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม พระปลัดเขียน อัมมาพันธ์ นำดินจากสังเวชนียสถาน 4 ตำบล คือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน จากประเทศอินเดีย มาบรรจุไว้
- รอยพระพุทธบาทจำลอง
จัดสร้างโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม และท่านผู้หญิง ในวันสงกรานต์ของทุกปี มีประชาชนในท้องถิ่นมาสรงน้ำเป็นจำนวนมาก
- พิพิธภัณฑ์ของโบราณ
เป็นสถานที่รวบรวมของโบราณซึ่งเก็บและขุดมาได้จากดงเมืองเตย เมืองเก่าสมัยขอม ในพิพิธภัณฑ์นี้ มีเตียงบรรทมเจ้าเมือง (เป็นศิลา) และศิลาจารึกสันนิษฐานว่า เป็นอักษรขอมโบราณ
- ซากเมืองโบราณดงเมืองเตย
อยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้านสงเปือย ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในบริเวณดงเมืองเตย มีซากวัด สระน้ำ กำแพงเมือง ซึ่งปัจจุบันได้ชำรุดลงไปมากแล้ว แต่ยังมีเค้าโครงเดิมพอจะสันนิษฐานได้ว่า เดิมเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณสมัยเจนละ-ทวารวดี ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 จากข้อความที่พบในจารึกของกษัตริย์เจนละ แสดงว่าโบราณสถานแห่งนี้ สร้างขึ้นเป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ที่นับถือพระศิวะ ในช่วงเวลานั้น บริเวณดงเมืองเตย รวมทั้งชุมชนใกล้เคียง ก็คงจะเคยเป็นเมืองที่มีชื่อว่า "ศังขะปุระ" ซึ่งคงจะมีความสัมพันธ์ในฐานะ เมืองในปกครองของอาณาจักรเจนละ ซึ่งก็คือ อาณาจักรขอมในสมัยต่อมา ที่แผ่อำนาจเข้ามาในเขตลุ่มแม่น้ำมูล-ชี ในช่วงเวลาดังกล่าว
กู่จาน
สถาน
พระพุทธบาทยโสธร ตั้งอยู่ที่วัดพระพุทธบาทยโสธร บ้านหนองยาง ตำบลหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางทิศตะวันตก 6 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2083 ห่างจากตัวจังหวัด 47 กม. พี้นที่ประดิษฐานรอยพุทธบาท เป็นเนินทรายขาวสูงงอกขึ้นกลางพื้นที่ลุ่มน้ำชี นับเป็นโบราณวัตถุอันล้ำค่าของจังหวัด บริเวณเดียวกันนี้ ยังมีโบราณวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธรูปปางนาคปรก (ศิลาแลง) 1 องค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1 ศอก และหลักศิลาจารึกทำด้วยศิลาแลง 1 หลัก สูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 50 เซนติเมตร มีตัวหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า โบราณวัตถุทั้ง 3 อย่างนี้ พระมหาอุตตปัญญาและสิทธิวิหาริกได้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1378 นอกจากนั้น ก็เขียนบอกคำนมัสการพระพุทธบาทไว้ บางตัวก็อ่านไม่ออกเพราะเลือนลางมาก ในระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ของทุกปี จะมีประชาชนจากอำเภอและตำบลใกล้เคียง ไปนมัสการเป็นจำนวนมาก
หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์
หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์ ตั้งอยู่ที่วัดสระไตรนุรักษ์ บ้านนาเวียง หมู่ที่ 1ตำบลนาเวียง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นหอไตรเก่าแก่ สร้างมาประมาณร้อยกว่าปี เป็นสถาปัตยกรรมแบบพม่าหรือไทยใหญ่ เป็นอาคารไม้ขนาดกว้าง 8.30 เมตร ยาว 10.50 เมตร หลังคามุมสังกะสี มีชายคายื่นทั้ง 4 ทิศ หลังคามี 4 ชั้น ลดหลั่นกันขึ้นไปมีประตูด้านหน้า 1 ช่อง บานประตูแกะสลักลวดลายสวยงาม แกะสลักอย่างประณีตงดงามตามแบบฉบับโบราณ นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเลยก็ว่าได้ ใช้เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกแต่โบราณสร้างอยู่กลางสระน้ำ
โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้(วัดอัครเทวดามิคาแอล)
อยู่ที่บ้านหนองซ่งแย้ หมู่ ๒ ตำบลคำเตย ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ ๔๕ กิโลเมตร (ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๖๙ ยโสธร- เลิงนกทา) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยว Unseen in Thailand เป็นโบสถ์คริสต์ที่สร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่ ใช้เสาไม้ทั้งเล็กและใหญ่ เกือบ ๓๐๐ ต้น และไม้มุงหลังคา ๘๐,๐๐๐ แผ่น เป็นโบสถ์คริสต์สร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีอายุกว่า ๕๐ ปี และตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นต้นมา ทางจังหวัดยโสธร ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดพิธีสมรสหมู่แบบคาทอลิกให้กับคู่บ่าวสาว ในวันวาเลนไทน์ของทุกปี ที่โบสถ์แห่งนี้ด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร
ตำนานบุญบั้งไฟ
ประเพณีพื้นบ้านของชาวอีสานที่ผูกพันกับความเชื่อในเรื่องการขอฝนด้วยการทำบั้งไฟจุดขึ้นไปบนฟ้าเพื่อขอฝนจากพญาแถน ซึ่งเป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 เดือนพฤษภาคมของทุกปี ประเพณีบุญบั้งไฟตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าถือชาติกำเนิดเป็นพญาคางคก ได้อาศัยอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ในเมืองพันทุมวดี ด้วยเหตุใดไม่แจ้ง พญาแถนเทพเจ้าแห่งฝนโกรธเคืองโลกมนุษย์มาก จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกนานถึง 7 เดือน ทำให้เกิดความลำบากยากแค้นอย่างแสนสาหัสแก่มวลมนุษย์ สัตว์และพืช จนกระทั่งพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่แข็งแรงก็รอดตายและได้พากันมารวมกลุ่มใต้ต้นโพธิ์ใหญ่กับพญาคางคก สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้หารือกันเพื่อจะหาวิธีการปราบพญาแถน ที่ประชุมได้ตกลงกันให้พญานาคียกทัพไปรบกับพญาแถน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ จากนั้นจึงให้พญาต่อแตนยกทัพไปปราบ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน ทำให้พวกสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดความท้อถอย หมดกำลังใจและสิ้นหวัง ได้แต่รอวันตาย ในที่สุด พญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน จึงได้วางแผนในการรบโดยปลวกทั้งหลายก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เดินทางไปสู่เมืองพญาแถน ซึ่งมีมอด แมลงป่อง ตะขาบ สำหรับมอดได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมลงป่องและตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามกองฟืนที่ใช้หุงต้มอาหาร และอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถนทำหน้าที่กัดต่อย หลังจากวางแผนเรียบร้อย กองทัพพญาคางคกก็เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่การรบ มอดทำหน้าที่กัดเจาะด้ามอาวุธ แมลงป่องและตะขาบกัดต่อยไพร่พลของพญาแถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทัพระส่ำระสาย ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก ดังนี้
1. ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์
2. ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว
3. ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไปและได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้
1. ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์
2. ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว
3. ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไปและได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้
งานประเพณีบุญบั้งไฟเมืองยโสธรในปี พ.ศ. 2555